มารู้จักน้ำยาแอร์กันว่ามีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร ?

Last updated: 26 พ.ค. 2565  |  11349 จำนวนผู้เข้าชม  | 

มารู้จักน้ำยาแอร์กันว่ามีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร ?

มารู้จักน้ำยาแอร์กันว่ามีกี่ประเภท แตกต่างกันอย่างไร ?

      น้ำยาทำความเย็น (Refrigerant) หรือ สารทำความเย็น ที่เรียกกันง่ายๆ ว่า "น้ำยาแอร์" เป็นสารเคมีที่อยู่ในแอร์เพื่อสร้างความเย็นให้กับห้องของคุณ โดยน้ำยาแอร์ปัจจุบันที่ยังใช้กันอยู่หลักๆ ในประเทศไทยมี 3 ประเภทด้วยกันคือ R22 , R410A และ R32 ซึ่งน้ำยาแอร์แต่ละตัวนั้นก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกัน โดยการเลือกใช้จะต้องคำนึงถึงค่า ODP (ดัชนีวัดการทำลายโอโซน), GWP (ดัชนีชี้วัดผลกระทบภาวะโลกร้อน), Cooling Capacity (ประสิทธิภาพการทำความเย็น) ซึ่งแต่ละค่ามีผลต่อการทำความเย็นและสภาพแวดล้อม เรามาดูข้อดีและข้อเสียแต่ละชนิดกันเลย

 

 

1. สารทำความเย็น R22

      สารทำความเย็น R22 เป็นน้ำยารุ่นที่เก่าที่สุด และถูกใช้งานอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน นิยมนำมาใช้กับแอร์ตามบ้านเรือนทั่วไป ซึ่งมีคุณสมบัติคือ ไม่มีพิษ ไม่มีกลิ่น และความถ่วงจำเพาะของสารในสถานะก๊าซจะหนักกว่าอากาศโดยที่สารเหล่านี้จะมีจุดเดือดที่ต่ำกว่า สารทั่วไป จึงถูกนำมาใช้ในการทำความเย็น โดยที่สารทำความเย็นที่มีจุดเดือดต่ำจะถูกใช้ในการทำความเย็นที่อุณหภูมิต่ำ และสารทำความเย็นที่มีจุดเดือดสูงจะถูกใช้ในทำความเย็นที่อุณหภูมิสูง ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการใช้งาน

มีค่า ODP = 0.05 ค่า GWP = 1810 และมีค่า Cooling Capacity = 100

ข้อดีของสารทำความเย็น R22
     - สาร R22 ไม่มีสีและไม่มีกลิ่น จึงไม่ก่อให้เกิดอันตรายต่อร่างกายมนุษย์
     - สาร R22 ถูกจัดอยู่ในกลุ่ม A1 คือ เป็นสารที่ไม่ติดไฟ จึงมีความปลอดภัยในการใช้งาน

ข้อเสียของสารทำความเย็น R22
     - สาร R22 มีค่า ODP สูง ซึ่งส่งผลต่อการทำลายชั้นโอโซนสูง
     - สาร R22 มีค่าที่ก่อให้เกิดภาวะเรือนกระจก
     - สาร R22 หากรั่วออกมาสู่อากาศจำนวนมากจะส่งผลอันตรายต่อระบบทางเดินหายใจ

 

2. สารทำความเย็น R410A

      สารทำความเย็นที่ถูกประดิษฐ์ขึ้นเพื่อใช้ทดแทน R22 เป็นหนึ่งในหลายสารทดแทน R22 ซึ่งมีความโดดเด่นมากที่สุด มันถูกออกแบบเพื่อใช้กับระบบของตัวมันเองโดยเฉพาะ และให้ความสามารถในการทำความเย็นมากกว่า R22 ถึง 40% แต่มีข้อด้อยเพียงนิดคือไม่สามารถใช้ได้กับระบบน้ำยา R22 ได้  ซึ่งน้ำยา R410A มีความสามารถในการทำความเย็นที่ให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นสูง ประหยัดพลังงานบำรุงรักษาง่าย ไม่ทำลายชั้นบรรยากาศ ใช้งานได้นานปี และน้ำยา R410A ยังเป็นการประยุกต์ข้อดีของสารทำความเย็น ในระบบเครื่องทำความเย็นมาใช้กับเครื่องปรับอากาศในอาคาร ด้วยอาศัยหลักการนำความร้อนได้เร็ว ดังนั้น เมื่อท่านเข้าไปในห้องแล้วเปิดเครื่องปรับอากาศจึงไม่แปลกเลยถ้า R410A จะทำความเย็นได้เร็วและเฉียบกว่า R22

มีค่า ODP = 0 มีค่า GWP = 2090 และมีค่า Cooling Capacity = 141

ข้อดีของสารทำความเย็น R410A
     - เป็นน้ำยาที่คิดค้นมาทดแทน R22
     - ประสิทธิภาพการทำความเย็นที่ดีกว่า จึงทำให้กินไฟน้อยลง
     - เป็นสารทำความเย็นที่ไม่ติดไฟ
     - มีค่า ODP ไม่ทำลายโอโซนในชั้นบรรยากาศ

ข้อเสียของสารทำความเย็น R410A
     - ราคาต่อกิโลกรัมสูงกว่า R22 ค่อนข้างมาก
     - มีค่า GWP สูง ซึ่งเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดภาวะเรือนกระจก
     - กรณีที่น้ำยาเกิดรั่วในระบบเครื่องปรับอากาศ R-410A ต้องถ่ายทิ้งให้เป็นศูนย์ แล้วจึงเติมเข้าไปใหม่อีกรอบ ไม่สามารถเติมเพิ่มจากเดิมเข้าไปได้

 

3. สารทำความเย็น R32

      สารทำความเย็น R32 เป็นสารทำความเย็น รุ่นใหม่ล่าสุด ซึ่งถูกผลิตขึ้นมาเพื่อช่วยประหยัดพลังงาน และช่วยลดการปล่อยสาร CFC ที่ทำลายชั้นบรรยากาศ  ซึ่งสารทำความเย็น R32 นี้ มีประสิทธิภาพการทำความเย็นสูง มีคุณสมบัติที่นอกจากไม่ทำลายชั้นโอโซนแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนน้อยกว่าสารทำความเย็นปัจจุบัน R410A ถึง 3 เท่า และยังให้ประสิทธิภาพการทำความเย็นมากกว่า R22 ถึง 60% 

มีค่า ODP = 0 มีค่า GWP = 675 และมีค่า Cooling Capacity = 160

ข้อดีของสารทำความเย็น R32
     - สาร R32 ใช้สารทำความเย็นน้อยกว่าสารรุ่นเดียวกัน
     - จุดเดือดของน้ำยา R32 มีค่าต่ำ ทำให้คอมเพลสเซอร์ทำงานเบาสุด ส่งผลให้มีประสิทธิภาพในการทำความเย็นดีและเร็วกว่า R22 และ R410A
     - ประหยัดพลังงานมากที่สุด
     - ราคาถูก และไม่มีสารทำลายโอโซน

ข้อเสียของสารทำความเย็น R32
     - สาร R32 จัดอยู่ในกลุ่ม A2 ซึ่งมีคุณสมบัติติดไฟได้เล็กน้อย ต่างจากสารชนิดอื่นที่อยู่ในกลุ่ม A1 แต่การที่สาร R32 จะติดไฟได้นั้น ต้องอาศัยความเข้มข้นของน้ำยาพอสมควร หากน้ำยามีความเข้มข้นน้อยก็จะติดไฟได้น้อย หากเข้มข้นมากก็จะติดไฟได้มาก จึงให้นำมาใช้ในแอร์ขนาดเล็กที่ต่ำกว่า 24000 บีทียู

 

     
      ในปัจจุบันมีการรณรงค์ให้หันมาใช้ น้ำยาแอร์ชนิด R32 มากขึ้น และเลิกใช้น้ำยา R22 ในอนาคต ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของกรมโรงงานอุตสาหกรรมที่ต้องการให้ยกเลิกการใช้สาร R22 อีกทั้งสารทำความเย็น R32 ยังส่งผลกระทบต่อภาวะโลกร้อนน้อยกว่าสารทำความเย็นในปัจจุบัน อย่างสาร R410A ถึง 3 เท่า และยังมีประสิทธิภาพทำความเย็นมากกว่า R22 ถึง 60% แต่สำหรับแอร์ที่ยังใช้น้ำยา R22 อยู่ ก็ยังสามารถใช้ได้เหมือนเดิม

 

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้